นักการทูต


นักการทูต ( diplomat 

อาชีพที่ฉันอยากเป็นในอนาคตคือ นักการทูต ถ้าให้นิยาม ฉันขอนิยามว่า นักการทูตคือผู้ประสานงานหรือผู้แทนเจรจาระหว่างรัฐกับรัฐ หรือรัฐกับองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศเราโดยเส้นทางสู่นักการทูตนั้นสามารถเข้ามาได้ 2 ทางคือ สอบชิงทุนของกระทรวงการต่างประเทศ ที่จะให้ทุนเรียนฟรีแก่นักเรียนที่จบมัธยมปลายไปเรียนต่อระดับปริญญาตรี-โทในต่างประเทศ เมื่อเรียนจบแล้วก็กลับมารับราชการเป็นนักการทูต (รับสมัครสอบช่วงเดือนสิงหาคม) หรือ สอบเข้ารับราชการเป็นนักการทูตหลังเรียนจบปริญญาตรี ซึ่งไม่จำเป็นต้องจบรัฐศาสตร์เท่านั้น จบคณะอื่นๆ ก็มาสมัครสอบได้

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ นักการทูต
    
การสอบ นักการทูตต้องผ่าน 3 ด่าน ด่านแรกคือ
    การสอบภาค ก. เป็นข้อสอบกากบาท ความรู้ ทั่วไป สำหรับทุกๆ คนที่สอบเข้าราชการ
    การสอบภาค ข. เป็นข้อสอบวัดความสามารถ เฉพาะตำแหน่ง ปีที่พี่ตาลสอบมีทั้งให้ย่อ             สุนทรพจน์ของนายกฯ จากยาว 4 หน้าให้เหลือแค่ครึ่งหน้า และมีให้เขียนตอบคำถามที่ว่า การต่างประเทศไทยในศตวรรษที่ 21 เป็นอย่างไร โดยคำถามที่ใช้มักเป็นคำถามกว้างๆ ไม่มีถูกผิด เน้นให้แสดงความคิดเห็นของเรา
และเมื่อผ่านสองด่านแรกแล้ว ก็มาถึงด่าน สุดท้ายสุดหินที่จะคัด "นักการทูต" ที่จะได้เข้า รับราชการ นั่นก็คือ
การสอบภาค ค. ในปีนั้น มีคนเข้ามาถึงด่านนี้ 50 คน และถูกคัดเหลือ 22 คนที่ได้เป็น นักการทูตตัวจริง โดยทั้ง 50 คนจะได้ไปเข้าค่ายที่ต่างจังหวัดพร้อมกับผู้ใหญ่ของทาง กระทรวง งานนี้ผู้ใหญ่จะไม่รู้จักชื่อนามสกุลของเรา เพราะจะมีติดแค่หมายเลขเอาไว้ให้รู้ว่าคนนี้เบอร์อะไร เพื่อให้มั่นใจว่า การคัดเลือกนักการทูตนั้นโปร่งใสจริงๆ ไม่ได้ดูจากนามสกุล(ใครที่คิดว่าเส้นเข้ามา ก็เลิกคิดไปได้เลย) ในแต่ละวันที่เข้าค่ายก็มีกิจกรรม เช่น Group Discussion , Public Speaking , การสัมภาษณ์ โดยมีกรรมการจากหลายแขนงมาร่วมดู ทั้งผู้ใหญ่ทางกระทรวง นักจิตวิทยา อาจารย์จากมหาวิทยาลัย เป็นต้น
นักการทูตมีหน้าที่รวบรวมและรายงานข้อมูลซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติ ซึ่งบ่อยครั้งมักเป็นการแนะนำเกี่ยวกับมาตรการรับมือให้แก่รัฐบาลของประเทศแม่ จากนั้น เมื่อมีนโยบายรับมือออกมาจากรัฐบาลแล้ว นักการทูตจะมีหน้าที่รับผิดชอบในการนำนโยบายนั้นไปปฏิบัติ เจ้าหน้าที่การทูตยังมีหน้าที่ในการถ่ายทอด ด้วยวิธีการที่ชักจูงมากที่สุด มุมมองของรัฐบาลประเทศแม่ให้แก่รัฐบาลประเทศที่ประจำอยู่นั้น เพื่อพยายามโน้มน้าวให้รัฐบาลเหล่านั้นดำเนินการให้เหมาะสมกับผลประโยชน์ของประเทศแม่ ด้วยวิธีการดังนี้ นักการทูตจึงเป็นจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของวงจรในกระบวนการนโยบายต่างประเทศ
ในสมัยปัจจุบันนี้ เป็นการยากที่เจ้าหน้าที่การทูตจะดำเนินการเป็นอิสระได้เหมือนในสมัยก่อน ดังที่รัฐบุรุษอเมริกัน โทมัส เจฟเฟอร์สัน ได้เขียนถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาในสมัยนั้นว่า "เราไม่ได้ข่าวจากเอกอัครราชทูต (ของสหรัฐฯ) ในสเปนกว่าสองปีแล้ว ถ้าเรายังไม่ทราบข่าวคราวจากเขาในปีนี้อีก ควรที่เราจะเขียนจดหมายหาเขา"
ระบบการสื่อสารรักษาความปลอดภัย ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ และโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทำให้ต้นสังกัดสามารถติดต่อและสั่งการต่อหัวหน้าคณะผู้แทนทางทูตของตนเองได้ไม่ว่าจะปลีกออกไปหลบซ่อนตัวถือสันโดษอยู่ที่ใดในโลกก็ตาม เทคโนโลยีเดียวกันนี้ ในทางกลับกัน ก็ทำให้นักการทูตในต่างประเทศสามารถที่จะให้ข้อมูลของตนป้อนกลับสู่กระบวนการจัดทำนโยบายในประเทศแม่ของตนได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
สังเกตว่า คำว่า minister ในภาษาอังกฤษมีได้หลายความหมาย ความหมายที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดคือ รัฐมนตรี แต่คำนี้ยังสามารถแปลว่าศาสนาจารย์ก็ได้ หรือเป็นระดับตำแหน่งทางทูตที่รองลงมาจากเอกอัครราชทูตก็ได้ด้วย ในกรณีหลังสุดนี้ ศัพท์บัญญัติภาษาไทยกำหนดให้เรียกว่า "อัครราชทูต" ซึ่งเป็นข้าราชการประจำ มิใช่รัฐมนตรีหรือสมาชิกคณะรัฐบาลแต่อย่างใด ตำแหน่งนี้ตามระบบราชการไทย เทียบได้กับรองอธิบดี
ตำแหน่ง counsellor ซึ่งศัพท์ทางทูตภาษาไทยกำหนดให้เรียกว่า ที่ปรึกษา นั้น เป็นชื่อตำแหน่งทางทูตที่เรียกเช่นนั้นเอง ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นข้าราชการประจำที่ทำงานปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลา มิได้มีสถานะเป็นผู้ให้คำปรึกษาแนะนำหรือเป็นตำแหน่งกิตติมศักดิ์หรือตำแหน่งลอยแต่ประการใด ตามระบบราชการไทยพอเทียบได้กับข้าราชการระดับ 7 เดิม หรือนักการทูตชำนาญการในปัจจุบันนี้ ซึ่งเทียบได้กับระดับรองผู้อำนวยการกอง
นักการทูตสามารถเปรียบเทียบได้ว่ามีความแตกต่างจากกงสุล หรือ ผู้ช่วยทูต ซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐในด้านการบริหารหลายด้าน แต่ไม่มีหน้าที่ทางการเมืองเช่นเดียวกับนักการทูต

ความคิดเห็น